วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

บทความวันเด็ก

วันเด็กแห่งชาติ
"คนทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ แม้เป็นเด็กก็มีหน้าที่อย่างเด็ก คือศึกษาเล่าเรียน หมายความว่า จะต้องเรียนให้รู้วิชา ฝึกหัดทำการงานต่าง ๆ ให้เป็น อบรมขัดเกลาความประพฤติและความคิดจิตใจให้ประณีต ให้สุจริต แจ่มใส และเฉลียวฉลาดมีเหตุผล เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถและประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง"
พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ่าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ประจำปี 2535

    จากคำกล่าวที่ว่า อนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไรต่อไป ส่วนหนึ่งต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพชีวิตของเด็กในประเทศนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องให้ การพิทักษ์รักษาคุ้มครองทางด้านกฎหมาย ตลอดจนให้ความสำคัญแก่เด็กๆ เพราะถือว่า เด็ก คือมนุษย์ที่ยังอ่อนอยู่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
    ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมาย ของคำว่า "เด็ก" ไว้ดังนี้
        เด็ก หมายถึง คนที่มีอายุยังน้อย ยังเล็ก
        เด็กชาย คือ คำนำเรียกเด็กผู้ชายที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์
        เด็กหญิง คือ คำนำเรียกเด็กผู้หญิงที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์

ประวัติ
    งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
    รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและ นอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
    งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
คำขวัญวันเด็ก
    คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพลป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

บทความวันพ่อ

ตอนที่หนูเป็นเด็ก … 
หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … ถ้าหนูก้มเอาหน้าผากแตะพื้น 
แปลว่าช้อนเมื้อกี้เป็นช้อนสุดท้าย แล้วหนูจะไม่หม่ำอีกเด็ดขาด 
ไม่ว่าพ่อจะมาไม้ไหนก็ตาม

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า …ตอนนี้พจนานุกรมหนูมี 3 คำนี้ 
มี้อาว แปลว่า ไม่เอา 
มะ แปลว่า แม่ 
จิ แปลว่า ฉี่ 
(ซึ่งบางครั้งพ่อก็ต้องเดาเอาว่า จะฉี่ หรือ ฉี่ไปแล้วจงไปตามเช็ดด้วย)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … วันที่พ่อกลับเร็วนั้น 
มีความหมายกับหนูแค่ไหน 
หนูสอนให้พ่อรู้ว่า …หนูกินไม่เลือกเหมือนพ่อนั่นแหละ 
หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … อย่ารัดจุกหนูกลางหัว 
เพราะเวลาหนูคันหัวหนูจะเกาจนมันหลุด ให้รัดค่อนมาทางหน้าผาก 

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … ถ้าหนูมาเกาะขาแล้วชี้ไปที่ไหน 
แปลว่า สิ่งนั้นมันทำให้หนูเจ็บหรือไม่ชอบใจ 
(ซึ่งบางทีหนูก็เกาะขาแม่แล้วชี้มาที่พ่อ)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า …ถ้าหนูยังไม่หลับ 
อย่าหวังว่าใครในบ้านจะได้หลับ(อย่างเป็นสุข) 
หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … การจัดบ้านให้เป็นระเบียบนั้น 
…เป็นการเสียเวลาและพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ 

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า …เมื่อหนูตื่นมากลางดึก 
ถ้าพ่อตบก้นหนูเบา ๆ แล้วหนูยังไม่หลับต่อ 
แปลว่าหนูหิวน้ำ จงเอาขวดน้ำมาใส่ปากหนูซะดี ๆ 
... ไม่งั้นพ่อไม่ได้หลับต่อแน่ ๆ 
หนูสอนให้พ่อรู้ว่า …ราคาของผ้าอ้อมสำเร็จรูป 
…ไม่มีความสัมพันธ์ต่อจำนวนครั้งที่หนูจะตื่นมากลางดึก

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … อย่าลืมปล่อยหนูเล่นน้ำนานเกิน 10 นาที 
เพราะหนูจะเป็นหวัด แล้วคนที่เดือดร้อนก็พ่อนั้นแหละ 
หนูสอนให้พ่อรู้ว่าถ้าหนูนอนไม่หลับ 
…ให้เอามือหนูมาแปะไว้ที่หน้าพ่อแล้วหนูจะหลับได้ง่ายขึ้น 
(แต่ตอนตื่นมักจะกลายเป็นเท้าหนูเวียนมาอยู่บนหน้าพ่อแทนอยู่ร่ำไป)

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า … 
แล้ววันหนึ่งที่ … ความรักของพ่อ 
ถูกมองว่าน้อยกว่าความรักผู้ชายอีกคนหนึ่ง 

คำพร่ำเตือนสอนสั่งของพ่อ … 
เสียงดังน้อยกว่าคำออดอ้อนของผู้ชายคนนั้น 

ความห่วงใยของพ่อ … 
มีค่าน้อยกว่าที่จะปฏิเสธคำขอผู้ชายคนนั้น 

อ้อมกอดของพ่อ … 
ดูเหมือนจะอบอุ่นน้อยไปกว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้น 

พ่อหวังแค่เพียงว่า … 
ผู้ชายคนนั้นจะรักและทนุถนอมหนูได้เพียงครึ่งที่พ่อรักหนู

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

บทความวันแม่

บทความวันแม่.......

คนเราที่เกิดมาทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคำว่า "แม่"

เพราะแม่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้เลี้ยงเฝ้าดูแลเรามาตลอด เป็นผู้รักเรามากกว่าใคร ๆ ที่บอกว่ารักเรา

ไม่ว่าลูกจะทำผิดขนาดไหนแม่ก็ยังให้อภัยแก่ลูกเสมอ บางครั้งลูกทำผิด แม่โกรธ ดุด่า ว่าลูก

แต่แม่ก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายลูก ความรักมีหลายรูปแบบ เช่น ความรักของหนุ่มสาว ความรักต่อเพื่อน

ความรักต่อครู-อาจารย์ เป็นต้น แต่ความรักเหล่านี้อาจจะลืมเลือนไปได้โดยง่าย

เพราะมันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง เปรียบไม่ได้กับความรักของแม่ที่มีต่อลูก

ซึ่งมีแต่ให้ไม่เคยคิดที่จะได้ตอบแทน คุณของ "แม่" นับว่าเป็นคุณที่ไม่อาจจะตอบแทนได้

นับเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ กว่าที่แม่จะคลอดเรามาแม่ก็ต้องอุ้มท้องเรามานานนับ 10 เดือน

โดยที่ไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการอยู่ในชีวิตประจำวัน พอถึงวันที่คลอด นับแต่วันที่คลอดแม่ก็เฝ้าดูแล

เป็นอย่างดี ไม่ให้ มด ยุง แมลงต่าง ๆ มากัดตัวลูก หาอาหารอย่างดีมาให้ทาน

ไม่เคยเอาสิ่งที่ไม่ดีมาให้ลูกกิน มาถึงทุกวันนี้แม่ก็ยังดูแลเราไม่เคยห่างสายตา เพราะแม่ยังกลัวว่า

ลูกจะหลงผิดทำให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม่ไม่คิดที่จะให้ลูกทำในสิ่งทดแทนคุณ เพราะแม่คือคนที่รักลูกที่แท้จริง

เป็นผู้ที่คิดแต่จะให้ลูกโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนที่ได้จากลูก แม่เป็นผู้ที่สั่งสอนลูกมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต

แม่สอนแต่สิ่งที่ดี นับเป็นคุณ "ครู" คนแรกของลูก แม่อาจเป็นทั้ง แม่, เพื่อน และครู ในเวลาเดียวกันได้

ในยามที่ลูกทุกข์แม่ก็คอยปลอบ ในยามที่ลูกผิดแม่ก็คอยสอน ตักเตือน ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

ในยามที่ลูกป่วยไข้ก็มีเพียงแม่เท่านั้นที่เฝ้าดูแลไม่ห่าง ไม่เหมือนคนอื่น

ถ้าเราป่วยเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ เพื่อนคนที่เคยบอกว่ารักเรา เขาอาจจะไม่กล้ามาเยี่ยม

เพราะเขากลัวโรคร้ายนั้นจะติดเขา แต่ผุ้เป็นแม่ไม่ว่าโรคนั้นจะร้ายสักเพียงใดก็ไม่คิดที่จะทอดทิ้ง

ให้ลูกอยู่โดดเดี่ยวมีแต่จะเป็นห่วงลูกเพิ่มขึ้น ลูกยิ่งป่วยหรือเจ็บมากขึ้นเท่าใดผู้เป็นแม่ก็ยิ่งร้อนใจ

เพิ่มขึ้นหลายเท่า แม่ยอมขายที่นา สวน ไร่ เพื่อให้ได้เงินมารักษาลูก เงินไม่พอก็ไปขอยืมเขา

แม้ว่าดอกเบี้ยจะแพงขอเพียงเพื่อได้รักษาให้ลูกได้หาย และมีความสุข แม่ทนทุกข์ยากและลำบาก

ในการทำงาน ตากแดดตัวดำเพื่อให้ลูกชาย หญิง ได้เรียนหนังสือมีความรู้สูงๆ เพื่อไม่ต้องลำบาก

เหมือนแม่ แม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาใช้ในครอบครัว และเงินที่ได้มาจากแรงกายของแม่

ส่วนใหญ่ตกไปอยู่ที่ลูก ไม่ว่าลูกจะขอเท่าไรแม่ก็หามาให้ได้เสมอ ลูกสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลไม่ได้ก็ดิ้นรน

ให้ลูกได้เรียนโรงเรียนเอกชน แม้ค่าเล่าเรียนเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยอม เพียงแต่ขอให้ลูกได้เรียน

แม่ก็มีความสุข แต่แม่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกมาโรงเรียนแล้วเป็นอย่างไร แม่คิดเพียงว่าลูกไปโรงเรียน

คงตั้งใจเรียน และลูกคงเหนื่อย เมื่อลูกกลับถึงบ้านตอนเย็นแม่จะไม่ให้ลูกทำงานบ้านอีก

แต่ลูกบางคนมาโรงเรียนแล้วไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าใดเลย แม่ต้องทนลำบากเพื่อให้ลูกได้เรียน

และเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของแม่เราต้องตั้งใจเรียนให้สมกับที่แม่ตั้งความหวังเอาไว้

อย่าให้แม่ผิดหวัง แม่แนะนำตักเตือนก็ต้องเชื่อฟังเพราะสิ่งที่แม่พูดเป็นสิ่งที่ดีไม่ผิด

ปัจจุบันนี้ไม่ว่าแม่พูดอะไรผมจึงไม่เคยคิดที่จะขัดใจแม่ เพราะผมรู้ดีว่าสิ่งที่แม่แนะนำตักเตือน

เพราะแม่หวังดี ไม่มีแม่คนไหนที่จะคิดร้ายต่อลูก ลูกมีกี่คนแม่สามารถเลี้ยงดูได้เป็นอย่างดี

ฉะนั้นเราผู้เป็นลูกมีแม่เพียงคนเดียวเราต้องดูแลท่านให้เหมือนที่ท่านเคยดูแลเรามา

และหาสิ่งดีๆมาตอบแทนโดยการตั้งใจเรียนเท่านี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว ในยามที่แม่แก่ชรา

ผมรู้ดีว่าคนแก่ชราต้องการอยู่ใกล้ลูกๆ หลานๆ ดังนั้นเราก็ต้องเอาใจใส่แม่ของเราให้มากที่สุด